สร้างบ้านสักหลัง ว่าจ้างใครดี..?
โดย ลุงทอม
ปรับปรุงเนื้อหา เมื่อ 16 มีนาคม 2559
ตอนที่ 3 จ้างผู้รับเหมา แบบเทิร์นคีย์ (3)
ข้อด้อย ของการว่าจ้างผู้รับเหมาแบบเทิร์นคีย์
1. มีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าบริษัทรับสร้างบ้าน
ผู้รับเหมาลักษณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้รับเหมารายย่อย ดังนั้นความน่าเชื่อถือจึงมีน้อยกว่า บริษัทรับสร้างบ้าน
ลูกค้าสร้างบ้านส่วนใหญ่จะมองหาผู้รับเหมาที่ทำงานในรูปบริษัท
โดยคิดเอาเองว่า "บริษัท" มีความน่าเชื่อถือมากกว่า ผู้รับเหมาที่รับงานในรูปบุคคล
ผู้รับเหมาก็รู้ครับว่า...
ลูกค้าสร้างบ้านต้องการผู้รับเหมาที่ทำงานในรูปบริษัท หลายคนจึงไปจดทะเบียนบริษัท มาไว้ให้ลูกค้าสร้างบ้านดู
ลูกค้าสร้างบ้านเห็นว่าผู้รับเหมามีหน่วยงานที่กำลังก่อสร้างอยู่และเป็นรูปบริษัทด้วย จึงเกิดความเชื่อถือ
การเจรจาส่วนใหญ่ จึงไม่ได้ไปที่บริษัทของผู้รับเหมา ลูกค้าสร้างบ้านจึงไม่รู้ว่า
ผู้รับเหมาบางรายทั้งบริษัทมีแต่ผู้รับเหมาคนเดียว
2. โอกาสในการทิ้งงานกลางคัน มีสูงกว่าบริษัทรับสร้างบ้าน
ผู้รับเหมาหลายคนทุนน้อย เอาเงินมัดจำสัญญาของลูกค้าสร้างบ้านมาทำการก่อสร้างบ้าน ความมั่นคงมีน้อยกว่าบริษัทรับสร้างบ้าน ซึ่งหลายบริษัทมีอายุธุรกิจหลายปี
โอกาสที่จะทิ้งงานจึงมีมากกว่า บริษัทรับสร้างบ้าน
3. ลูกค้าสร้างบ้านต้องจ่ายเงินมัดจำสัญญา 10-15 %
การจ่ายเงินมัดจำสัญญาเป็นธรรมเนียมที่มีมาช้านานในวงการรับสร้างบ้าน ลูกค้าที่จ่ายเงินมัดจำสัญญาจะอยู่ในสภาพที่ "จ่ายก่อน ผู้รับเหมาทำงานให้่ทีหลัง" เกือบทุกงวด ยกเว้นงวดสุดท้าย
ผลของมันก็คือ หากมีอะไรเกิดขึ้น ลูกค้าสร้างบ้าน "เสียเปรียบ" !
สมมุติว่าผู้รับเหมาทำงานออกมาชิ้นหนึ่ง ลูกค้าสร้างบ้านไม่พอใจ แต่ผู้รับเหมาบอกว่า
ที่ทำมานี่ "ใช้ได้แล้ว" ลูกค้าสร้างบ้านจะเอาอะไรไปแย้งเขา
ท่านที่ได้อ่านบทความของผมแล้วอาจจะคิดว่า..
"เออ..ก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวเราไปต่อรองผู้รับเหมา
แบบไม่ต้องจ่ายเงินมัดจำสัญญาบ้าง"
ซึ่งผมก็เชื่อว่า ผู้รับเหมาก็คงจะ "เอาด้วย"กับเงื่อนไขไม่จ่ายเงินมัดจำสัญญา
แต่สรุปแล้ว ท่านก็จะยังคงเสียเปรียบอยู่ดีแหละ เพราะเมื่อท่านเพ่งเล็งตรงจุดนี้
ผู้รับเหมามีอีกหลายช่องทางที่จะได้เปรียบท่าน
4. การแบ่งงวดงานสร้างบ้าน ผู้ว่าจ้างเสียเปรียบ
การแบ่งงวดงาน แบ่งคล้ายๆกับของบริษัทรับสร้างบ้าน มีจุดสังเกตุอยู่ 2 ข้อคือ
หนึ่ง ช่างแรกๆได้เงินมากกว่าเนื้องาน ช่วงหลังๆเนื้องานมากกว่าเงินที่ได้รับ
สอง เนื้องานในงวดงานไม่ระบุไว้อย่างละเอียด เปิดช่องให้ยังไม่ต้องทำงานในส่วนที่ไม่ได้ระบุไว้ (ถึงแม้เวลานั้นจะ "ทำได้" ก็ตาม)
ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ ลูกค้าสร้างบ้านเสียเปรียบผุ้รับเหมา
5. หาก "โดนทิ้งงาน" หรือ "ยกเลิกสัญญากลางคัน" ลูกค้าสร้างบ้านเสียหายเยอะมาก
ถ้าสังเกตุดีๆหลังงวดงานที่มีการฉาบผนังจะเหลือเงินค่างวดไม่มากนัก ซึ่งในจังหวะนี้แหละเป็นจังหวะที่ต้องใช้เงินซื้อวัสดุจำนวนมาก ไหนจะค่าวัสดุปูผิวพื้น ค่าร้อนสายไฟฟ้า ค่าประตูหน้าต่าง ค่าทำฝ้าเพดาน ค่าสุขภัณฑ์ ค่าดวงโคมสวิทช์ปลั๊ก ค่าทำงานสุขาภิบาลนอกบ้าน ค่าวัสดุปูผิวพื้นบันไดและราวกันตก และค่าทำสี
สำหรับบ้านราคาประมาณสักสามล้าน อาจต้องหาเงินมาโป๊ะมากกว่าหกแสนบาท หากโดนผู้รับเหมาทิ้งงานช่วงหลังฉาบปูน หรือมีความขัดแย้งกันจนถึงขั้นที่ต้องยกเลิกสัญญา
ไม่มีใครพยากรณ์ได้ว่า อีก 3-6 เดือนข้างหน้า ผู้รับเหมาที่การเงินดี คนงานเยอะแยะจะกลายเป็นผู้รับเหมาที่ไม่มีศักยภาพ หมดเงินทุน คนงานแทบไม่เหลือ
ปัจจัยผู้รับเหมา คือปัจจัยที่ ผู้ว่าจ้างควบคุมไม่ได้
ระหว่างการทำงานให้กับผู้ว่าจ้าง ผู้รับเหมาอาจไปเสียการพนันที่ไหนมา หรือ ทำงานที่หน่วยงานอื่นแล้วเก็บเงินไม่ได้ พอๆกับไม่มีใครพยากรณ์ได้ว่า จะโดนทิ้งงานเมื่อไร !!
6. เสียเปรียบเรื่องสัญญา
ตอนเซ็นสัญญาสร้างบ้าน ผู้ว่าจ้างมักจะเป็นฝ่ายให้ผู้รับจ้างเอาร่างสัญญาสร้างบ้านให้ตรวจสอบ ผู้ว่าจ้างจะแก้ไขในส่วนที่ตนเองคิดว่าเสียเปรียบ
แต่มันไม่พอหรอกครับ..
เพราะถึงแม้ผู้ว่าจ้างจะแก้ไขแล้วก็ตาม สัญญาสร้างบ้านนั้น ก็ยังคงมีช่องโหว่ ที่จะทำให้ผู้รับเหมาได้เปรียบเจ้าของบ้าน !
7. อำนาจในการต่อรองของลูกค้าสร้างบ้านต่ำกว่าผู้รับเหมา
จ่ายเงินมัดจำสัญญา แบ่งงวดงานแบบได้เงินเยอะกว่าเนื้องาน สัญญาสร้างบ้านเสียเปรียบ เหล่านี้ล้วนทำให้ลูกค้าสร้างบ้านเสียเปรียบผุ้รับเหมา
-โปรดอ่านต่อหน้าถัดไป-
หากมีข้อสงสัย
ต้องการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการว่าจ้างผู้รับเหมา
และ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างบ้าน ปรึกษาได้ฟรีครับ
โดยคลิกที่ไอคอนข้างล่างนี้
ไปหน้าสารบัญ
เรื่องน่ารู้ เมื่อเตรียมการสร้างบ้าน
|